ผู้อำนวยการ ส่วนอุทยานแห่งชาติทะเลนำผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่แก้ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายหาดจังหวัดภูเก็ต หลังพบตั้งแต่ปี 57 บางชายหาดถูกกัดเซาะมากถึง 25 เมตรทำต้นสนล้มตายจำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วอนหน่วยงานในพื้นที่ร่วมแก้ปัญหา.
เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2560 นายศักดิ์อนันต์ ปลาทอง อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตหาดใหญ่ กล่าวถึงผลการศึกษาเพื่อหาสาเหตุของปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายหาดในยาง อ.ถลาง จ.ภูเก็ต หลังพบว่าบริเวณหาดในยาง ตลอดแนวไปจนถึงหาดทรายแก้ว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ว่าสาเหตุเกิดจากแนวปะการังที่ช่วยชะลอความแรงของน้ำทะเลตายและเสื่อมโทรมลง ซึ่งแนวปะการังถือเป็นเกราะที่สำคัญอย่างหนึ่งในการในการป้องกันปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายหาด เมื่อไม่มีแนวปะการังความแรงของน้ำก็โถมเข้าใส่ชายหาดอย่างรุนแรงเป็นเหตุให้มีการกัดเซาะชายหาดเกิดขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่าบริเวณชายหาดในยางมีการกัดเซาะมาอย่างต่อเนื่อง และสาเหตุที่ทำให้แนวปะการังตายบริเวณหาดในยางพบว่าเกิดจากการเปลี่ยนทิศทางของน้ำจืดที่ไหลลงทะเล ซึ่งเดิมน้ำจะไหลลงทะเลที่บริเวณอ่าวทุ่งหนุน ซึ่งจุดนั้นเป็นจุดที่ไม่มีปะการัง แต่มาระยะหลังน้ำได้เปลี่ยนเส้นทางมาไหลลงคลองที่บริเวณทางเข้าอุทยานเนื่องจากมีการก่อสร้างและมีการถมพรุต่างๆ ทำให้น้ำฝนหรือน้ำจากส่วนอื่นไหลลงทะเลโดยตรง เมื่อน้ำจืดไหลลงทะเลในปริมาณมากส่งผลให้ปะการังตาย เพราะฉะนั้นในการแก้ไขปัญหาในจุดนี้สามารถทำได้ 2 แนวทาง คือ การเปลี่ยนทิศทางไหลลงทะเลของน้ำให้กลับไปไหลลงในทิศทางเดิมที่ไม่มีแนวปะการัง และการต่อท่อให้น้ำจืดไหลลงท่อไปปล่อยในทะเลลึก ซึ่งจะทำให้น้ำจืดไม่รบกวนแนวปะการังน้ำตื้น โดยทั้ง 2 แนวทาง จะต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวของในการดำเนินการ ซึ่งในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตยังมีปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายหาดอีกหลายแห่ง โดยจุดที่น่าเป็นห่วงอีกจุดคือที่บริเวณหาดราไวย์ ที่ปัจจุบันพบว่ามีความรุนแรงมาก ส่วนการแก้ไขปัญหาน้ำกัดเซาะชายหาดโดยการทำแนวกั้น นั้นพบว่าไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหา แต่กลับไปเพิ่มความรุนแรงของการกัดเซาะมากขึ้น โดยทำให้น้ำทะเลเปลี่ยนทิศทางไปกัดเซาะบริเวณใกล้เคียงและเป็นการกัดเซาะที่รุนแรงกว่าเดิมมาก
ขณะที่นายณัฐพล รัตนพันธ์ ผอ.ส่วนจัดการอุทยานแห่งชาติทางทะเล กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำกัดเซาะชายหาดบริเวณหาดในยาง ว่า จากการศึกษาทำให้ทราบถึงสาเหตุและแนวทางในการแก้ไขปัญหา ซึ่งในการแก้ไขปัญหาขณะนี้ทางอุทยานไม่สามารถทำด้วยตัวเองเพียงหน่วยเดียวได้ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากท้องถิ่น รวมทั้งจังหวัด และระดับประเทศ เพราะปัญหานี้ถือว่าเป็นปัญหาระดับชาติที่จะต้องช่วยกันดูแล ซึ่งนอกจากเรื่องของการกัดเซาะชายหาดแล้วทางกรมยังให้ความสำคัญในเรื่องของการอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติด้วยที่จะต้องมาช่วยกันดูแล การก่อสร้างลงไปในทะเลล้วนส่งผลกระทบโดยตรง เช่นโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการโครงการสร้างท่าเที่ยบเรือบริเวณหาดในยางเพื่อรับส่งนักท่องเที่ยวขึ้นเครื่อง – ลงเครื่อง นั้นไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน เพราะจะทำให้เกิดปัญหาทางธรรมชาติเกิดขึ้นอีกมากมาย
ด้านนายปรารพ แปลงงาน หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเล ที่ 2 จังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่าได้มีการศึกษากรณีน้ำทะเลกัดเซาะชายหาดมาระยะหนึ่งแล้ว จากการศึกษาภาพถ่ายทางดาวเทียมพบว่า ในปี 2556 -2557 การกัดเซาะชายหาดมีความรุนแรงมาก รวมแล้วมีการกัดเซาะไปไม่ต่ำกว่า 10 เมตร ต้นสนขนาดใหญ่ล้มตายจำนวนมาก และที่มีการกัดเซาะรุนแรงที่สุดคือที่บริเวณหาดทรายแล้วมีการกัดเซาะเข้ามาประมาณ 25 เมตร ซึ่งการแก้ไขปัญหาคงจะต้องร่วมมือกับหลายฝ่ายในการดำเนินแต่ก็ต้องใช้เวลา และที่สำคัญจะต้องอาศัยความร่วมมือจากเจ้าของพื้นที่ที่เกี่ยวข้องทั้งภาพรัฐและเอกชน ในการดำเนินการ.






