
เลขาธิการ สทนช.ลงพื้นที่ภูเก็ต ติดความความคืบหน้า การบริหารจัดการน้ำ ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก รองรับการท่องเที่ยวภูเก็ต ให้เพียงพอกับความต้องการในพื้นที่
วันที่ 21 ธันวาคม 2563 ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ( สทนช.) ลงพื้นที่อ่างเก็บน้ำคลองบางเหนียวดำอำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ตติดตามความคืบหน้า การวางแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก โดยมีนายปิยพงศ์ ชูวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายไพโรจน์ คำทอนผู้อำนวยการ ชลประทานจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

ดร. สมเกียรติ ประจำวงษ์ กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ เพื่อติดตามความคืบหน้าการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก ที่อยู่ในระหว่างโครงการศึกษาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์และแผนหลักในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำหรือ SEA ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมทั้งหมด 11 จังหวัด ประกอบด้วย กระบี่ ชุมพร ตรัง นครศรีธรรมราช พังงา พัทลุง ภูเก็ต ระนอง สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี โดยมีมหาวิทยาลัยนเรศวรและกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาดำเนินการศึกษาอย่างรอบด้าน ทั้งด้านวิศวกรรม อุตุ -อุทกวิทยา สภาพภูมิสังคมรวมทั้งได้ทบทวนผลการศึกษาและการดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดย ที่ผ่านมาได้สอบถามความคิดเห็นและได้รับฟังข้อเสนอแนะจากประชาชน กว่า 70 ครั้ง ในการลงพื้นที่ประกอบการจัดทำรายงานการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ของพื้นที่ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตกพร้อมจัดทำแผนหลักการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก 20 ปีและแผนปฏิบัติการ 5 ปีตลอดจนการพัฒนาแหล่งน้ำและแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการ พยากรณ์น้ำ 20 ปี พ.ศ. 2561 – 2580 คาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2564

จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่สำคัญในพื้นที่ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะการเติบโตทางธุรกิจการท่องเที่ยวทำให้มีโรงแรมที่พักเกิดขึ้นในแทบทุกพื้นที่ตั้งแต่หัวเกาะจรดท้ายเกาะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาปีละกว่า 14 ล้านคน แต่เนื่องจากภูมิศาสตร์ที่เป็นเกาะล้อมรอบด้วยทะเล จึงทำให้แหล่งน้ำต้นทุนมีอยู่อย่างจำกัดซึ่งสวนทางกับปริมาณความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากการศึกษาพบว่าในปี 2562 มีความต้องการใช้น้ำรวมประมาณ 80 .86 ล้านลูกบาศก์เมตร (ไม่รวมการใช้น้ำเพื่อการเกษตรนอกเขตชลประทาน) และคาดว่าในปี 2572 ความต้องการใช้น้ำจะเพิ่มขึ้นเป็น 103.18 ลูกบาศก์เมตรและภายในปี 2582 คาดว่าจะมีปริมาณความต้องการใช้น้ำเพิ่มเป็น 124.22 ล้าน ลบ.ม. แนวโน้มดังกล่าวทำให้สถานการณ์น้ำจังหวัดภูเก็ตอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ จึงจำเป็นต้องมีหลักการบริหารจัดการน้ำที่ดีให้เพียงพอต่อความต้องการของภาคส่วนต่างๆอย่างครอบคลุม

ปัจจุบันจังหวัดภูเก็ตมีน้ำต้นทุนประมาณ 27.14 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีซึ่งเป็นน้ำจากแหล่งเก็บกักน้ำผิวดิน 20.59 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีหรือร้อยละ 75.87 น้ำใต้ดิน 2.55 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีหรือร้อยละ 9.40 และการผลิตน้ำจืดจากทะเล 4 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีหรือร้อยละ 14.73 แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการขณะที่การผลิตน้ำประปาปัจจุบันมีกำลังการผลิตประมาณ 125,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือ 45 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งก็สามารถให้บริการได้เพียง 70 % ของจำนวนผู้ต้องการใช้น้ำเท่านั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนดวางแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้สอดคล้องทั้งปริมาณน้ำต้นทุนที่มีความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มสูงขึ้นและ มีส่วนร่วมของภาคประชาชนในพื้นที่เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำต้นทุนทั้งน้ำจืดน้ำทะเลน้ำใต้ดินรวมถึงมีการวางแผนการส่งเสริมการผลิตน้ำประปาอย่างมีประสิทธิภาพรองรับปริมาณความต้องการใช้น้ำในอนาคตและเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจของการท่องเที่ยวไปพร้อม ๆ กันด้วย

เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้จังหวัดภูเก็ตเกิดภาวะขาดแคลนน้ำมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งจนทำให้ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันทุกรูปแบบและแก้ปัญหาจนผ่านวิกฤตไปได้ ซึ่งรัฐบาลได้จัดสรรงบกลางในปี 2563 ให้จังหวัดภูเก็ตจำนวน 3 ครั้ง รวม 114 โครงการวงเงิน 1,963.55 ล้านบาทดำเนินการ โดย 7 หน่วยงานคือ การประปาภูมิภาค กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกรมเจ้าท่า กระทรวงมหาดไทย กรมชลประทานกรมทรัพยากรน้ำบาดาลและกองทัพบกได้ปริมาณน้ำดิบ 10.13 ล้านลูกบาศก์เมตรปริมาณน้ำในแหล่งน้ำ 3.2 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่รับประโยชน์ 42,297 ไร่และครัวเรือนรับประโยชน์ 10,770 ครัวเรือน ซึ่งคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ซึ่งมีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้มอบหมายให้ สนทช. ดำเนินการจัดทำแผนหลักการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาในระยะยาวต่อไป

และจากการลงพื้นที่วันนี้ได้ติดตามสถานการณ์น้ำรวมทั้งการบริหารจัดการน้ำที่อ่างเก็บน้ำคลองบางเหนียวดำซึ่งเป็น 1 ใน 3 อ่างเก็บน้ำของจังหวัดภูเก็ตที่เป็นแหล่งน้ำดิบที่สำคัญสำหรับการผลิตน้ำประปาโดยอ่างเก็บน้ำทั้ง 3 แห่งสามารถกักเก็บน้ำใต้ดินรวมกันประมาณ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมระบบสูบหลักและได้เดินทางติดตามการดำเนินงานของโรงผลิตน้ำทะเลเป็นน้ำจืดของบริษัท อาร์ อี คิววอเตอร์เซอร์วิสเซส จํากัด โดยการแยกเกลือออกจากน้ำทะเลด้วยเทคโนโลยี Reverse Osmosis ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 10,000 ถึง 12,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวันโดยน้ำประปาที่ได้จะส่งไปในพื้นที่การท่องเที่ยวบริเวณหาดกะรน หาดกะตะ และหาดกะตะน้อยในอัตราร้อยละ 35 ที่เหลืออีกร้อยละ 65 จะส่งไปยังพื้นที่หาดป่าตองเพื่อเป็นน้ำอุปโภคบริโภคสำหรับการท่องเที่ยวต่อไป

