ปลัดกระทรวงการคลังประชุมหารือเพื่อติดตามผลการดำเนินนโยบายของกระทรวงการคลังของจังหวัดภูเก็ต
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2561 ที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต อ. เมือง จ. ภูเก็ต นายสมชัย สัจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อติดตามผลการดำเนินนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงการคลัง โดยมี นายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นางสาวบัณฑรโฉม แก้วสอาด ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง นายถาวรวัฒน์ คงแก้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายสมชัย สัจพงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันกระทรวงการคลังได้กำหนดนโยบายเชิงพื้นที่ที่สำคัญหลายเรื่อง ซึ่งมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาให้กับผู้มีรายได้น้อย ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืน โดยขณะนี้มีนโยบายสำคัญที่ประสงค์จะเร่งรัดผลักดันให้เป็นรูปธรรมในทุกพื้นที่โดยพร้อมกัน ได้แก่ การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน, มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup)
นอกจากนี้ยังคงมีนโยบายอื่นที่ยังต้องการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องต่อไป เช่น การส่งเสริมการออมผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ การประชาสัมพันธ์โครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ การส่งเสริมธุรกรรมโอนเงินหรือซื้อสินค้าผ่าน QR Code (ตลาดไร้เงินสด) เป็นต้น
ในการนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลังในฐานะฝ่ายเลขานุการขอสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบาย ความคืบหน้าที่สำคัญและกำหนดประเด็นหารือเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการผลักดันนโยบายของกระทรวงการคลังในจังหวัดภูเก็ตใน 3 เรื่อง ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup)
สำหรับจังหวัดภูเก็ตในส่วนของการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งทางจังหวัดภูเก็ตถือเป็นวาระงานสำคัญและพร้อมสนับสนุนกระทรวงการคลังในการทำงานเชิงรุก สำหรับข้อมูลผู้มีรายได้นอกระบบในจังหวัดภูเก็ตมีจำนวน 3,738 ราย ซึ่งทางจังหวัดจะได้นำมาตรการช่วยเหลือของกระทรวงการคลังมาดำเนินการในการให้ความช่วยเหลือตามระบบและจะมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
ส่วนมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในส่วนของจังหวัดภูเก็ต มีผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 30,826 คน โดยต้องมีการสำรวจสภาพข้อเท็จจริง สอบถามความประสงค์จำนวน 15,817 ราย แบ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่แจ้งความประสงค์แล้วจำนวน 2,998 คน และยังไม่ได้มาแจ้งความประสงค์จำนวน 8,191 คน ส่วนกลุ่มสมัครใจมีแจ้งความประสงค์แล้วจำนวน 4,633 คน โดยทางเจ้าหน้าที่จะได้มีการติดตามผลการช่วยเหลือและให้คำแนะนำในเรื่องต่าง ๆ ต่อไป และเรื่องการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ก็จะได้มีการส่งเสริมอย่างจริงจังเพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่ม มีความพร้อมในการทำธุรกิจเชิงพาณิชย์เพื่อให้เกิดกลุ่มผู้ประกอบการรายใหม่ต่อไป



